ม็อกเทล


 

 

 

 

 

 

Mocktail

การเลียนแบบ ค็อกเทล ที่ถูกเรียกขานว่า ม็อกเทล

เป็นดั่งเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ ที่ถูกสรรคสร้างผสมขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

เครื่องดื่มม็อกเทล Mocktail

ม็อกเทล Mocktail มีกรรมวิธีการทำคล้ายกับค็อกเทล แต่จุดที่แตกต่างกันก็คือ ม็อกเทลจะไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ Non-Alcohol ไม่ใส่เหล้านั่นเอง มีวิธีการผสมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การเขย่า คน เท ริน หรือแม้กระทั้งปั่น รสชาติจะเน้นความแตกต่างด้วยรสผลไม้ โยเกิร์ต นม ครีม ชา กาแฟ  น้ำอัดลม โซดา น้ำเชื่อม และน้ำเชื่อมกลิ่นผลไม้ต่างๆ

จุดกำเนิด เครื่องดื่มแบบ Non-Alcohol  เกิดขึ้นที่ นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 น่าจะถือกำเนิดมาพร้อมๆ กับเครื่องดื่มค็อกเทล การดื่มกินส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของการบำรุงสุขภาพร่างกายมากกว่า ด้วยรสชาติของผลไม้ที่มีหลากหลายรส ทำให้เครื่องดื่มม็อกเทล และพั้นช์ก็มีหลายสูตร หลายรสชาติเช่นกัน แต่จะที่สีสันมากกว่า รวมถึงการตกแต่งในแก้วด้วยเนื้อผลไม้ด้วย เครื่องดื่มประเภทนี้จะเป็นที่นิยมดื่มกันมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากคนหันมาดูแลสุขภาพร่างกายกันมากขึ้น และยังเป็นที่นิยมดื่มกันมากในประเทศแถบเอเชีย ม็อกเทล และพั้นช์ดื่มแล้วทำให้สดใส ชื่นใจ ดับกระหาย คลายร้อนได้ และยังเป็นเครื่องดื่มที่ใช้รับรองแขกผู้มาเยือนด้วย

เครื่องดื่มม็อกเทล ที่มีชื่อเสียงที่ทำให้ผู้คนรู้จักกับเครื่องดื่มชนิดนี้ ก็คือ Shirley Temple ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 และสูตรอื่น เช่น Beach Blanket Bingo , Pearls and Lace , Pony's Neck , Cranberry Cooler , San Francisco , Margarita  , Cinderella , Virgin Pinacolada , Roy Rogers เป็นต้น

ความหมาย คำว่า MOCK (ม็อกเทล) แปลว่า "การลอกเลียนแบบ" ตามภาษาอังกฤษ ซึ่งคำๆ นี้ใช้แทนชื่อเรียกเครื่องดื่มผสมประเภทที่ไม่ใส่แอลกอฮอล์มานานแล้ว เป็นการเล่นคำที่คล้ายกันกับคำว่า ค็อกเทล (Cocktail)  โดยบัญญัติคำว่า ม็อกเทล (Mocktail) แทนเครื่องดื่มในแนวนี้ทั้งหมด โดยที่คำว่า "ม็อกเทล" ถูกกำหนดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงปี ค.ศ. 1980 โดยนายวิลเลี่ยม ยูจีน สมิธ นักการเมืองชาวอเมริกา ผู้ที่รณรงค์ให้ชาวอเมริกันเลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม แล้วหันมาดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์แทน จนมีเครื่องดื่มม็อกเทลที่เรียกตามชื่อฉายาของเขาว่า Mr.Pussy Foot

ดังนั้นคำว่า Mocktail โดยส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึงเครื่องดื่มผสมที่ปราศจากแอลกอฮอล์ เน้นรสชาติของผลไม้ต่างๆ ที่นำมาเป็นส่วนผสม คำว่า Mocktail จะมีเสียงเรียกที่คล้ายกับคำว่า Cocktail จริงๆ แล้วคำว่า Mock เป็นการใช้คำเลียนแบบคำว่า Cock เป็นลูกเล่นของการใช้ภาษาพูด ไม่ได้มีความหมายเฉพาะเจาะจง คำว่า Mocktail ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เรียกชื่อแทนประเภทของเครื่องดื่มผสมที่ไม่มีแอลกอฮอล์ หรือมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่บ้าง แต่ในปริมาณที่น้อยมากๆ

นิยมดื่ม Mocktail เป็นเครื่องดื่มที่ใช้ดื่มกินสำหรับงานเลี้ยงปาร์ตี้ในวันหยุด หรือในโอกาสที่พิเศษ เน้นเพื่อการดื่มกินง่าย เพื่อความสบาย ผ่อนคลายอารมณ์ ส่วนการผสมจะมีส่วนผสมตหลัก เช่น น้ำผลไม้ และโซดา

การเสิร์ฟ ก็จะใส่ในแก้วตามขนาด และปริมาณของเครื่องดื่ม โดยมักจะมีการตกแต่งปากแก้วด้วย มะนาว และเชอรี่ หรือผลไม้อื่นๆ แล้วแต่ผู้ผสม ใช้หลักการเดียวกับการผสมเครื่องดื่มค็อกเทล

วิธีการผสม

1.Shake&Strain วิธีการเขย่าและกรอง อุปกรณ์ในการผสมคือ กระบอกเช็ค (Shaker) โดยรินส่วนผสมลงในกระบอกเช็ค  แล้วตักน้ำแข็งก้อนใส่ตามลงไป ประมาณ 4-5 ก้อน แล้วเขย่าด้วยความเร็วและแรง จนกระทั้งมีฝ้าขาวขุ่นขึ้นที่กระบอก ก็เป็นอันว่าใช้ได้ เทส่วนผสมทั้งหมดพร้อมน้ำแข็งลงในแก้ว แต่ถ้าบางสูตรต้องการให้กรองเอาแต่น้ำ ก็ให้เขย่าแล้วกรองเทเอาแต่น้ำลงแก้ว เน้น ส่วนผสมที่เข้ากันยาก

ข้อห้ามของวิธีเขย่า ห้ามเทส่วนผสมที่มีแก๊ส เช่น โซดา น้ำอัดลม ลงในกระบอกเช็ค เพราะจะเกิดแรงดันทำให้ฝากระบอกเช็คกระเด็นหลุดออกมาได้ ควรจะเติมใส่ทีหลัง

2.Stir วิธีการคนผสม ส่วนใหญ่นิยมคนผสมในแก้ว โดยใส่น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว แล้วเทส่วนผสมลงในแก้ว จากนั้นใช้ช้อนบาร์คนแบบกระทุ้งด้วยความเร็ว ประมาณ 6-7 รอบ เป็นอันเสร็จ เน้น ในส่วนผสมที่ผสมเข้ากันง่าย เน้นรสชาตดั้งเดิมของส่วนผสม 

3.Build&Pour วิธีการรินหรือเท เทรินส่วนผสมทั้งหมดลงในแก้วที่มีน้ำแข็งรออยู่ โดยไม่ต้องคน ใส่หลอด แล้วยกเสิร์ฟได้เลย เน้น สีสันของเครื่องดื่ม เป็นส่วนผสมที่สามารถผสมเข้ากันได้ง่าย                                       

4.Blend วิธีการปั่น  จะเทส่วนผสมทั้งหมดลงเครื่องปั่น (Blender) แล้วปั่นจนเละเอียดข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน สำหรับวิธีการนี้ อาจจะเรียกได้อีกแบบว่า เครื่องดื่มผสมสมูธตี้ส์ Smoothies เป็นการผสมเครื่องดื่มที่ต้องการให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน และเครื่องดื่มผสมเฟรปเป้ Frappe น้ำผลไม้ปั่น หรือเครื่องดื่มชนิดปั่นแบบไม่ใส่แอลกอฮอล์นั่นเอง เหมาะสำหรับส่วนผสมที่ผสมเข้ากันได้ยาก เน้น ความเย็น ดื่มง่าย และรสชาติของเนื้อผลไม้     

แก้วที่ใช้ใส่เครื่องดื่มม็อกเทล โดยปกติแล้วเครื่องดื่มชนิดนี้จะมีรูปแบบ และวิธีการผสมคล้ายกับเการผสมครื่องดื่มค็อกเทล ดังนั้นแก้วที่เลือกใช้ ก็จะเหมือนกับแก้วที่ใช้ใส่ค็อกเทล เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ลึกซึ้งเท่า แก้วที่ใช้ใส่ม็อกเทล ได้แก่  

  1. Old Fashioned Glass หรือ Rock Glass : ขนาด 6-8 ออนซ์ ใช้ใส่ม็อกเทลที่เน้นโชว์แก้ว และส่วนผสมที่เล่นสีสันในแก้ว เพื่อให้ผู้ดื่มชงผสมกันเอง
  2. Highball Glass : ขนาด 9 ออนซ์ ใช้ใส่ม็อกเทลที่มีปริมาณ และต้องการความเย็นที่อยู่ได้นาน
  3. Collin's Glass และ Long Drink Glass : ขนาด 13–14 ออนซ์ ใช้ใส่ม็อกเทลที่เน้นปริมาณมาก  และโชว์สีสันของเครื่องดื่มด้วยตัวแก้วที่มีความสูง 
  4. Martini Glass หรือ Margarita Glass : ขนาด 5-6 ออนซ์ ใช้ใส่ม็อกเทลที่ทำด้วยวิธีแบบเขย่าแล้วกรอง อาจจะมีการเคลือบปากแก้วด้วย เกลือ หรือน้ำตาลทราย เป็นการตกแต่ง และช่วยเพิ่มรสชาติเครื่องดื่มด้วย 
  5. Cocktail Glass : ขนาด 4-5 ออนซ์ ใช้ใส่ม็อกเทลทั่วไป แบบเขย่าแล้วกรอง ที่มีปริมาณไม่มาก
  6. Champagne Flute Glass และ Champagne saucer Glass : ขนาด 6-8 ออนซ์ ใช้ใส่ม็อกเทลแบบปั้น เพื่อความสวยงาม ดูมีสไตล์เน้นความหรูหรา
  7. Wine Glass : ใช้ใส่ม็อกเทลทั่วไป  
  8. Sour Glass : ขนาด 5-6 ออนซ์ มี 2 แบบ คือ แบบก้านสั้น และก้านยาว ใช้ใส่ม็อกเทล แบบเขย่าแล้วกรองทั่วไป

ประเภทของเครื่องดื่มม็อกเทล แบบออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.ม็อกเทลแบบผสมไม่เป็นเนื้อเดียวกัน คือ จะใช้วิธีการผสมแบบ เขย่า เขย่ากรอง คน รินหรือเท ที่เรียกว่า พั้นช์ผลไม้ หรือม็อกเทลแบบต่างๆ

2.ม็อกเทลแบบผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน คือ จะใช้วิธีการผสมแบบปั่น บางครั้งก็เรียกว่า Smoothies และ Frappe

ลักษณะการดื่มกิน จริงๆ แล้วไม่ได้มีการกำหนดไว้เป็นรูปแบบเหมือนอย่างเครื่องดื่มค็อกเทล

1.เป็นเครื่องดื่มที่ดื่มกินได้ทุกเมื่อตามต้องการ

2.เป็นเครื่องดื่มที่ใช้เลี้ยงรับรองแขกผู้มาเยือนตามสถานที่ต่างๆ เช่น เลี้ยงรับรองลูกค้าที่เข้าเช็คอินของโรงแรม

3.ดื่มกินเพื่อบำรุงสุขภาพร่างกาย

4.ดื่มกินเพื่อดับกระหาย คลายร้อน

 

 

 

 

 

Mocktail Recipes (สูตรม็อกเทล)

Sawasdee Drink

- 1 oz.      Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.      Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1 oz.      Red syrup (น้ำแดงเฮลบูลบอยซ์)

- Full-Up. Soda (โซดา)

วิธีผสม : ใช้วิธีการคนผสมในแก้ว ใส่น้ำแข็งก่อน แล้วใส่โซดาทีหลัง

Cranpirina Drink

- 3 oz.     Cranberry Juice (น้ำแครนเบอรี่)

- 1 oz.     Orange Juice (น้ำส้ม)

- 3/4 oz.  Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1/2 oz.  Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 3/4 oz.  Grenadine.Syrup (น้ำเชื่อมแกรนาดีน สีแดง)

- 1/4 oz.  Honey (น้ำผึ้ง)

วิธีผสม : ใช้วิธีการเขย่าเททั้งน้ำแข็ง แต่งด้วยใบสะระแหน่ และมะนาวชิ้น

Coco Colada

- 2 oz.     Coconut Juice (น้ำมะพร้าว)

- 3/4 oz.  Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1 oz.     Milk (นมสด)

- 3/4 oz.  Cream (ครีมนม)

- 1/4 oz.  Coconut Syrup (น้ำเชื่อมมะพร้าว)

วิธีผสม : ใช้วิธีการเขย่าเททั้งน้ำแข็ง แต่งด้วยมะพร้าวอ่อน 

Pusse Fruit

- 3 oz.      Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 3/4 oz.   Grenadine Syrup (น้ำเชื่อมแกรนาดีน สีแดง)

- Top-Up.  Soda (โซดา)

วิธีผสม : ใช้วิธีการเขย่าเททั้งน้ำแข็ง แต่งด้วยมะนาวฝานและเชอรี่

Blue Lemon

- 1/2 oz.    Blur curacao Syrup (น้ำเชื่อมบูล คูราโช่)

- 2 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.   Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

วิธีผสม : ใช้วิธีการเขย่าเทกรอง ใส่ในแก้วที่ทำขอบเกลือ

Strawberry Lychee 

- 2 oz.      Lychee Juice (น้ำลิ้นจี่)

- 2 oz.      Strawberry Juice (น้ำสตรอเบอรี่)

- 1.5 oz.   Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/3 oz.   Strawberry Syrup (น้ำเชื่อมสตรอเบอรี่)

- 1/3 oz.   Lychee Syrup (น้ำเชื่อมลิ้นจี่)

วิธีผสม : ใช้วิธีการเขย่าเททั้งน้ำแข็ง

Mango Sticky Rice

- 1 oz.      Passion Fruit Juice (น้ำเสาวรส)

- 1 oz.      Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1/2 oz.   Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1/2 oz.   Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/3 oz.   Mango Sticky Rice Syrup (น้ำเชื่อมข้าวเหนียวมะม่วง Silpin)

วิธีผสม : ใช้วิธีการเขย่าเทกรอง 

Virgin Mojito

- 3 tsp.        Brown Powder Sugar (น้ำตาลทรายไม่ขัดสี)

- 6-8 pcs.    Lemon Piece (มะนาวชิ้น)

- 7-8 leaf.    Mint Spring Leaf (ใบสะระแหน่)

- 2 oz.         Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- Fill-Up.     Soda (โซดา)

- 1/4 oz.      Menta Cubano Syrup (น้ำเชื่อมมิ้นท์ เมนต้า คูบาโน่ Davinci)

วิธีผสม : ใช้วิธีการบดขยี้ ใส่น้ำแข็ง 

Strawberry Cubano 

- 2 oz.        Strawberry Juice (น้ำสตรอเบอรี่)

- 1.5 oz.     Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.     Menta Cubano Syrup (น้ำเชื่อมเม้นต้า คูบาโน่)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่ากรอง แต่งด้วยสตรอเบอรี่ และใบสะระแหน่

Cristy Shake

- 2 oz.       Apple Juice (น้ำแอปเปิ้ล)

- 1.5 oz.    Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.       Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.    Apple Syrup (น้ำเชื่อมแอปเปิ้ล)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่ากรอง แต่งด้วยมะนาวฝาน และส้มฝาน

Pineapple Bitter

- 5-6 drop.   Angostura Bitter (แองกอสตูร่า บิตเตอร์)

- 2 oz.          Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 3/4 oz.       Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.          Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.       Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)     

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่ากรอง แต่งด้วยสับปะรด และเชอรี่

Passion Mint 

- 2 oz.         Passion Fruit Juice (น้ำเสาวรส) 

- 3/4 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/3 oz.      Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 1/3 oz.      Peppermint Syrup (น้ำเชื่อมเปปเปอร์มิ้นท์)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่ากรอง แต่งด้วยสับปะรดชิ้น และเชอรี่

Emeral Dream

- 1.5 oz.     Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1.5 oz.     Mango Juice (น้ำมะม่วง)

- 1/3 oz.     Passion-Fruit Syrup (น้ำเชื่อมเสาวรส)

- 1/4 oz.     Peppermint Syrup (น้ำเชื่อมเปปเปอร์มิ้นท์)

วิธีผสม : ใช้วิธีเชย่ากรอง แต่งด้วยสับปะรดชิ้น+เชอรี่

Blueberry Shake

- 2 oz.       Cranberry Juice  (น้ำแครนเบอรี่) 

- 1 oz.       Lychee Juice (น้ำลิ้นจี่) 

- 1.5 oz.    Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)  

- 1/3 oz.    Blueberry Syrup (น้ำเชื่อมบูลเบอรี่) 

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่าแล้วกรอง แต่งด้วยบลูเบอรี่

Raspberry-Mango

- 1/2 oz.    Mix Raspberry Puree (เนื้อราสเบอรี่ มิ้กซ์)

- 2 oz.       Mango Juice (น้ำมะม่วง)

- 1.5 oz.    Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/3 oz.    Raspberry Syrup (น้ำเชื่อมราสเบอรี่)

- On-Top.  Sprite (สไปรท์)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่าแล้วกรอง แต่งด้วยสตรอเบอรี่ และลิ้นจี่

Cherry-Peach Garden

- 1.5 oz.    Passion Fruit Juice (น้ำเสาวรส) 

- 1.5 oz.    Pineapple Juice (น้ำสับปะรด) 

- 1 oz.       Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)  

- 1/4 oz.    Cherry Syrup (น้ำเชื่อมเชอรี่)  

- 1/4 oz.    Peach Garden Syrup (น้ำเชื่อมพีช การ์เด้น)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่าแล้วกรอง แต่งด้วยมะนาวฝาน และเชอรี่

Blue Hawaii 

- 3 oz.       Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 3/4 oz.    Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)   

- 1/3 oz.    Blue Grenadine Syrup (น้ำเชื่อมแกรนาดีน สีฟ้า) 

- 1/2 oz.    Sugar Syrup (น้ำเชื่อม) 

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่าแล้วเททั้งน้ำแข็ง แต่งด้วยสับปะรด และเชอรี่

Blue Ocean 

- 1 oz.       Kiwi Juice (น้ำกีวี)

- 2 oz.       Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม) 

- 1 oz.       Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)                                                                                           

- 1/2 oz.    Blue Curacao Syrup (น้ำเชื่อมบูลคูราโช่) 

- 1/3 oz.    Kiwi Syrup (น้ำเชื่อมกีวี)

- Full-Up.  Soda (โซดา)

วิธีผสม : ใช้วิธีรินใส่แก้ว แต่งด้วยมะนาวฝาน กีวี และเชอรี่

พั้นช์ผลไม้ Punch

พั้นช์ Punch ลักษณะการผสมส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีการเดียวกับการผสมค็อกเทล เพียงแต่ว่าจะเน้นที่รสชาติความสดของเนื้อผลไม้ โดยส่วนใหญ่พั้นช์จะนิยมผสมเนื้อ และน้ำผลไม้ กับน้ำเชื่อมรสต่างๆ และอาจจะผสมแอลกอฮอล์ด้วยก็ได้ จุดนี้ทำให้แตกต่างจากม็อกเทล เพราะม็อกเทลจะต้องไม่แอลกอฮอล์ผสมอยู่เลยครับ

เครื่องดื่มประเภทพั้นช์ หรือพั้นช์ผลไม้ ก็จัดอยู่ในเครื่องดื่มม็อกเทลด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ว่า คำว่า "พั้นช์" ไม่ได้มีความหมายเจาะจงเหมือนม็อกเทล เพราะน้ำพั้นช์บางตัวก็อาจจะใส่เหล้าเข้าไปด้วยก็ได้ หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่ถ้าเป็นม็อกเทลจะต้องไม่มีเหล้าผสมอยู่ด้วยเลย

Punch เกิดขึ้นเมื่อคริตส์ศตวรรษที่ 18 ในทวีปยุโรปทางตอนเหนือ ของสวีเดน โดยนำเหล้ารัมมาผสมรวมกับเครื่องเทศสมุนไพร อบเชย กานพลู ที่มีกลิ่นหอม รสหวาน ต่อมาก็นำมาผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆ รวมถึงน้ำเชื่อมด้วย จนเป็นที่นิยมดื่มกันทั่วไป ดื่มเพื่อคลายร้อน รสหวานอร่อย ดื่มง่าย ต่อมาในคริตส์ศตวรรษที่ 19 ก็นิยมทำเหล้าพั้นช์ขายกันมากขึ้น โดยใช้เหล้ารัมผสมผลไม้ต่างๆ

เครื่องดื่มน้ำผลไม้ พั้นช์ Punch มีรากศัพท์มาจากคำว่า ปัญจ Panch ภาษาฮินดู หรือปั้นช์ นั่นเอง หมายถึงการนำส่วนผสม 5 อย่างมาผสมกัน อันได้แก่ น้ำตาลทรายหรือน้ำเชื่อม, เหล้า, น้ำมะนาว, น้ำ และเครื่องเทศ นับได้ว่าเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่เก่าแก่มา โดยส่วนใหญ่เหล้าที่ใช้มาผสมพั้นช์ คือ เหล้ารัม

Punch Recipes (สูตรพั้นช์ผลไม้)

Fruit Punch

- 1 oz.     Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.     Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1 oz.     Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 3/4 oz.  Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 1/2 oz.  Red Syrup (น้ำแดงเฮลบูลบอยซ์)

- Fill-up.  Soda (โซดา)

- Water Melon, Pineapple, Orange, Lemon เอาเนื้อมาสับให้ละเอียดใส่ลงไปด้วย 

วิธีผสม ใช้วิธีการคนผสมให้เข้ากัน ใส่โซดาพอแค่ให้ซ่าเล็กน้อย

Tip. ใส่เหล้าหวาน Triple sec ลงไปน้อยจะเพิ่มรสชาติอร่อยขึ้น

Cardinal Punch

- 3 oz.        Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.        Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.     Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 1/2 oz.     Strawberry Syrup (น้ำเชื่อมสตรอเบอรี่)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่ากรอง แต่งด้วยส้มฝาน และเชอรี่

Himaraya Punch

- 2 oz.      Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 3/4 oz.   Green syrup (น้ำเขียวเฮลบูลบอยซ์)

- Full-Up. Soda (โซดา)

วิธีผสม : ใช้วิธีการคนผสมในแก้ว ใส่น้ำแข็งก่อน แล้วใส่โซดาทีหลัง

Melon Apple Punch

- 1 oz.      Orange Juice (น้ำส้ม)

- 2 oz.      Apple Juice (น้ำแอปเปิ้ล)

- 1 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 3/4 oz.   Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 1/2 oz.   Melon Syrup (น้ำเชื่อมเมลอน)

- Fill-up.   Soda (โซดา)

- Yellow Water Melon, Honey Drew Melon, Apple เอาเนื้อมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ใส่มะนาวฝาน 

วิธีผสม ใช้วิธีการคนผสมให้เข้ากัน ใส่โซดาพอแค่ให้ซ่าเล็กน้อย

Madona Punch

- 1 oz.       Passion Fruit (น้ำเสาวรส) 

- 1 oz.       Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1 oz.       Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.       Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1 oz.       Peach Syrup (น้ำเชื่อมพีช)

- Top-up.  Tonic Water (น้ำโทนิค)

- Cherry, Pineapple เอาเนื้อมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ใส่มะนาวฝาน 

วิธีผสม ใช้วิธีการเขย่าเทผสมให้เข้ากัน แล้วใส่เนื้อผลไม้ตาม

Berry Punch
 
- 2 oz.       Cherry Mix Juice (น้ำเชอรี่) 

- 1 oz.       Orange Juice (น้ำส้ม)

- 2 oz.       Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/3 oz.    Red Syrup (น้ำแดงเฮลบูลบอยซ์)

- 1/4 oz.    Strawberry Syrup (น้ำเชื่อมสตรอเบอรี่)

- 1/4 oz.    Blueberry Syrup หรือ Raspberry Syrup (น้ำเชื่อมบูลเบอรี่ หรือน้ำเชื่อมราสเบอรี่)

- Fill-up.    Soda (โซดา)

- Berry Fruit, Orange, Kiwi เอาเนื้อมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ใส่มะนาวฝาน

วิธีผสม ใช้วิธีการเขย่าเทผสมให้เข้ากัน แล้วใส่โซดา และเนื้อผลไม้ตาม

Tip. ใส่เหล้าหวาน Vodka และ Strawberry หรือ Creme de casis ลงไปน้อยจะเพิ่มรสชาติอร่อยขึ้น

Ice Tea Punch
 
- 3 oz.     Ice Tea (น้ำชา) 

- 1 oz.     Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1 oz.     Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 3/4 oz.  Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 1/2 oz.  Honey (น้ำผึ้ง)

- Pineapple เอาเนื้อมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ใส่มะนาวฝาน

วิธีผสม ใช้วิธีการคนผสมให้เข้ากัน แล้วใส่เนื้อผลไม้ตาม

 

สมูธตี้ส์ Smoothies

หลักการเดิม คือ การนำผลไม้หั่นเป็นลูกเต๋าแล้วนำไปแช่เย็นจนแข็งเป็นน้ำแข็ง แล้วนำมาปั่นรวมกับนม โยเกิร์ต โดยไม่ต้องใส่น้ำแข็งอีก ปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด

เน้นรสชาติของผลไม้หลากหลายรสในหนึ่งแก้ว เช่น กล้วยหอม+กีวี, สตรอเบอรี่+ส้ม+สับปะรด+มะนาว, กีวี+แอปเปิ้ล เป็นต้น

Smoothies คือ เครื่องดื่มผสมที่นำเอาผลไม้ (แช่แข็ง) หลายชนิดมาปั่นผสมรวมกัน ให้ได้รสชาติที่เน้นกรสผลไม้ให้อยู่ในโทนรสชาติใกล้เคียงกัน โดยส่วนใหญ่มักจะผสมนม หรือโยเกิร์ต หรือน้ำผึ้งเข้าไปด้วย สีสันสวยงาม เนื้อเครื่องดื่มดูแล้วต้องปั่นออกมาให้ดูนุ่มนวล เนียนละเอียด สมูธตี้ส์ เริ่มเข้ามาเป็นรู้จักในบ้านเราตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2542 และเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นหลังจากนั้นประมาณ 3-4 ปี (หรือย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปีก่อนจากปัจจุบัน พ.ศ.2564)

คำว่า "สมูธตี้ส์" มีมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ช่วงปี ค.ศ.1930 เริ่มมีการอธิบายถึงความหมาย เครื่องดื่ม สมูธตี้ส์ในยุคแรกเป็นเพียงผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำแข็ง ปั่นรวมกัน ดื่มเพื่อสุขภาพ

Smoothies เป็นเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ได้จากการปั่น ด้วยน้ำผลไม้ และเนื้อผลไม้ต่างๆ ผสมเข้าด้วยกัน แต่ถ้าเป็นตามสไตล์อเมริกันจะนำเอาผลไม้ที่แช่เย็นไว้อย่างแข็งมาปั่นแทนน้ำแข็ง ตามแบบฉบับดั้งเดิมของอเมริกา เกิดขึ้นที่ รัฐหลุยเซียนน่า ในปี ค.ศ.1973 นาย Steve Kuhnau ได้ก่อตั้งบาร์ที่มีชื่อว่า Smoothie King เขาเป็นคนแรก ที่ทำเครื่องดื่มสมูธตี้ส์ ที่ไม่มีไขมัน เพราะที่นี้ไม่นิยมใส่นม หรือโยเกิร์ต จัดเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นิยมดื่มกันมาก ต่อมาภายหลังมีการใส่โยเกิร์ต ผงโปรตีน และวิตามินลงไปเพิ่มในสมูธตี้ส์ของเขา 30 ปีต่อมา สมูธตี้ส์ของบาร์สมูธตี้ส์คิง ได้กระจายไปทั่วอเมริกา และทำให้คำว่า "สมูธตี้ส์" เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในครัวเรือน เป็นเครื่องดื่มที่คนอเมริกัน ทำดื่มกินกันเองในบ้าน ในขณะเดียวกันก็เริ่มวางจำหน่ายในร้านอาหารบาร์น้ำผลไม้ และร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ และยังมีการผลิตบรรจุใส่ขวดขายโดยบริษัทต่างๆ เช่น Naked Juice และ Odwalla มีวางจำหน่ายตามร้านขายของชำ ทุกวันนี้สมูธตี้ส์มีความหลากหลาย ทุกรสหาได้ง่ายไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน สูตรการทำก็มากมายในเว็บไซต์ หรือหนังสือต่างๆ ให้นำไปทำดื่มเองที่บ้านได้สะดวกง่ายขึ้น

แต่ถ้าเป็นสมูธตี้ส์แบบเมดิเตอร์เรเนียน จะนิยมใส่นม หรือโยเกิร์ตกันมากกว่า บางทีก็ใส่น้ำผึ้ง เข้าไปปั่นกับผลไม้ด้วย เรียกว่า Lassi

ผลไม้ที่นิยมนำมาผสมสมูธตี้ส์ ได้แก่ กล้วย สับปะรด สตรอเบอรี่ ลูกพีช มะม่วง กีวี แอปเปิ้ล ส้ม แคนตาลูป แตงโม เป็นต้น แต่ดูแล้วกล้วยเหมาะจะนำมาผสมสมูธตี้ส์ที่สุดแล้ว เพราะจะทำให้สมูธที่สุดแล้ว (เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ดูเนียนนุ่ม)

สามารถแบ่งกลุ่มของเครื่องดื่มสมูธตี้ส์ ได้เป็น

  • Tropical Smoothies เป็นสมูธตี้ส์ที่ใช้ผลไม้เมืองร้อนมาเป็นส่วนผสม เช่น มะม่วง เสาวรส สับปะรด กล้วย ส้ม ฝรั่ง มะละกอ เป็นต้น รสชาดค่อนข้างหลากหลาย ส่วนใหญ่ปั่นออกมาสีจะออกแนวสี เหลืองนวล
  • Berry Smoothies เป็นสมูธตี้ส์ที่นิยมกันมากสุด และเป็นที่รู้จักกันมากสุด ใช้ผลไม้พวกเบอรี่มาปั่นรวมกัน เช่น บูลเบอรี่ สตรอเบอรี่ แบล็คเคอเร้นท์ ราสเบอรี่ แบล็คเบอรี่ แอปเปิ้ล กีวี เป็นต้น รสจะออกเปรี้ยวนำหวาน ส่วนใหญ่ปั่นออกมาสีจะออกแนวสี แดง ม่วง
  • Vigitable Smoothies เป็นสมูธตี้ส์ที่ใช้ผักมาเป็นส่วนผสมหลักในการปั่น เช่น แครรอท ซาลารี่ ฟักทอง มะเขือเทศ ใบสาระแหน่ อาจจะต้องผสมน้ำผลไม้บางตัว หรือน้ำเชื่อมเข้าไปเพื่อให้ดื่มกินได้ง่ายขึ้น จะออกแนวเพื่อสุขภาพมากสุด ส่วนใหญ่ปั่นออกมาสีจะออกแนวสี ส้ม แดง เขียว
  • Yogurt Smoothies เป็นสมูธตี้ส์ที่ใส่โยเกิร์ตด้วย ตามความชอบของผู้ผสม แล้วปั่นรวมกับ ผลไม้ หรือผักตามใจชอบ สีที่ปั้นออกมาตามสีของผลไม้ หรือผักที่นำมาใช้ ดูคล้ายนม สีนวลเข้มข้น ปนรสโยเกิร์ต
  • Ice Cream Smoothies (Float)  เป็นสมูธตี้ส์ที่เหมือนกับสมูธตี้ส์แบบอื่น เพียงแต่มีการปั่นใส่ไอศกรีมเข้าไปด้วย โดยนิยมไอศกรีมรสวานิลา สีของนมๆ อร่อยเข้มข้นน่าทาน
  • Lazzy Smoothies เป็นสมูตี้สที่นิยมใส่พวกนมเปรี้ยวเข้าไป อาจจะปั่นรวมกันนม และผลไม้ที่แช่เย็นไว้ ปั่นโดยไม่นิยมใส่น้ำแข็ง ตามสไตล์แบบต้นฉบับอย่างอินเดีย
  • Detox Smoothies เป็นสมูธตี้ส์ที่นิยมใช้ผลไม้ หรือผักมาผสมโดยจัดโทนเพื่อการบำรุง หรือเพื่อล้างพิษ หรือเพื่อคลายเครียด หรือเพื่อดับกระหาย โดยใช้คุณสมบัติของผลไม้ หรือผักที่นำมาใช้เป็นตัวชูโลง จูงใจให้ดื่มเพื่อการดูแลสุขภาพ โดยนำผลไม้ หรือผักไปแช่ให้เย็นจัดแล้วนำมาปั่นกับน้ำผลไม้ โดยไม่ใส่น้ำแข็ง และน้ำเชื่อม คล้ายกับการดื่มกินผักผลไม้จากเครื่องแยกกาก

Smoothies Recipes (สูตรสมูธตี้ส์)

Kiwi Apple Twist Smoothies

- 1 ลูก.         Kiwi (กีวี)

- 1 ลูก.         Green Apple (แอปเปิ้ลเขียว)

- 3/4 oz.       Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1 oz.          Kiwi Juice (น้ำกีวี)

- 1 oz.          Apple Juice (น้ำแอปเปิ้ล)

- 1 oz.          Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น)

- นิดหน่อย.    Salt (เกลือ) 

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยกีวี และใบสะระแหน่

Oreo Caramel Smoothies

- 3 tsp.         Caramel (คาราเมล)

- 2 tsp.         Ovaltine White Malt (โอวัลตินขาวไวท์มอลต์)

- 3 oz.          Milk (นมสด)

- 1 oz.          Cream (ครีมนมคาร์เนชั่น)

- 1/3 oz.       White Cocholate Syrup (น้ำเชื่อมไวท์ช็อคโกแลต Davinci)

- 1/2 oz.       Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น)

- 2 ชิ้น.         Oreo (โอรีโอ้)

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น ยกเว้นโอรีโอ้ ใส่ปั่นทีหลังแค่พอแหลก แต่งด้วยวิปปิ้งครีม ซอสคาราเมล เชอรี่ และโอรีโอ้

Strawberry Smoothies

- 3-4 ลูก.      Strawberry (สตรอเบอรี่)

- 3 oz.         Strawberry Juice (น้ำสตรอเบอรี่)

- 1.5 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.      Passion Fruit Juice (น้ำเสาวรส)

- 1 oz.         Strawberry Syrup (น้ำเชื่อมสตรอเบอรี่ ติ่งฟง)

- นิดหน่อย.   Salt (เกลือ) 

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยสตรอเบอรี่ มะนาวฝาน และใบสะระแหน่

Tropicana Smoothies 

- 1 oz.         Milk (นมสด) 

- 1/2 oz.      Coconut Cream (น้ำกะทิ) 

- 1.5 oz.      Mango Juice (น้ำมะม่วง) 

- 1.5 oz.      Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1 oz.         Coconut Juice (น้ำมะพร้าว)  

- 1 oz.         Peach Syrup (น้ำเชื่อมพีช)

- 1/3 oz.      Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น) 

- 1/2 oz.      Mix Peach & Mango Puree (เนื้อพีช และมะม่วง มิ้กซ์)

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยวิปปิ้งครีม มะม่วง และพีช

Blueberry Smoothies

- 1/4 ถ้วย.    Blueberry Yogurt (โยเกิร์ตรสบูลเบอรี่)

- 3 oz.         Milk (นมสด) 

- 1 oz.         Cream (ครีมคาร์เนชั่น) 

- 3/4 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาว)

- 1 oz.         Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น)

- 3/4 oz.      Mix Blueberry Puree (เนื้อบูลเบอรี่ มิ้กซ์)

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยวิปปิ้งครีม และบูลเบอรี่

YuZu Hana By Cocktailthai

- 3 oz.         YuZu Juice (น้ำยูซุ)

- 1.5 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.      Passion Fruit Juice (น้ำเสาวรส)

- 3/4 oz.      Red Syrup (น้ำแดงเฮลบูลบอยซ์)

1/4 oz.      Blue Grenadine Syrup (น้ำเชื่อมแกรนาดีน สีฟ้า)

- 3-4 tsp.     ลูกชิดเชื่อม 

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยซีเรียล ฟรุ๊ตตี้

Pink Planter's By Cocktailthai
 
- 3 oz.         Lychee Juice (น้ำลิ้นจี่)

- 3/4 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 3-4 ลูก.     Lychee (ลิ้นจี่กระป๋อง)

- 3/4 oz.     Lychee Syrup (น้ำเชื่อมลิ้นจี่)

- 1 oz.        Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 3-4 tsp.    ทับทิมกรอบ (ใส่ตกแต่งทีหลังตามความชอบ) 

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยทับทิมกรอบ

Coco Jelly Yoghurt by Cocktailthai
 
- 3 oz.         Coconut Juice (น้ำมะพร้าว)
 
- 1/3 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 3/4 oz.      Red Syrup (น้ำแดงเฮลบูลบอยซ์)

- 1/2 ถ้วย.    Coconut Yoghurt (โยเกิร์ตรสมะพร้าว)

- 3/4 oz.      Coconut Syrup (น้ำเชื่อมมะพร้าว Ding Fong)

- 3-4 tsp.     Coconut Jelly (วุ้นมะพร้าวอ่อน)

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยวุ้นมะพร้าว 

Power Carrot Smoothies By Cocktailthai

- 1/2 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 2 oz.         Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1 oz.         Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 5-6 ชิ้น.     Carrot (แครรอท)

- 1/2 ถ้วย.    Natural Yoghurt (โยเกิร์ตรสธรรมชาติ)

- 1 oz.         Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 1/2 oz.      Honey (น้ำผึ้ง)

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น

Mango Smoothies by Cocktailthai
 
- 3 oz.         Mango Juice (น้ำมะม่วง)
 
- 3/4 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1 oz.         Mango Syrup (น้ำเชื่อมมะม่วง)

- 1/2 ถ้วย.    Natural Yoghurt (โยเกิร์ตรสธรรมชาติ)

- 1-2 ชิ้น.     Mango (มะม่วงสุก)

วิธีผสม : ใช้วิธีการปั่นผสมให้เข้ากัน แต่งด้วยมะม่วง  

Banana & Pineapple Smoothies By Cocktailthai

- 2 oz.         Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)
 
- 1 oz.         Passion Fruit Juice (น้ำเสาวรส)
 
- 1/2 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)
 
- 1/2 oz.      Cream (ครีมนมคาร์เนชั่น)

- 1 oz.         Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น)

- 1-2 tsp.     Honey (น้ำผึ้ง)

- 1-2 ชิ้น.     Banana (กล้วยหอมสุก)

วิธีผสม ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยกล้วย และใบสะระแหน่ 

นมปั่น Milk Shake

ถือเป็นสมูธตี้ส์ด้วย จัดเป็นเครื่องดื่มเย็นที่ผสมไอศกรีม โดยนำมาปั่นกับนมสด น้ำเชื่อม หรือบางที่ก็ใส่ผลไม้ลงไปปั่นด้วยก็ได้ แต่จะให้ดีควรปั่นให้ละเอียดมากจะดีกว่า ถ้าอยากจะใส่กลิ่นหรือรสช็อกโกแลต วานิลา คาราเมล สตรอเบอรี่ เพิ่มเข้าไปด้วยก็ได้แล้วแต่ความชอบ

ว่ากันว่า Milk Shake ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1885 เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีส่วนผสมของไข่ผสมกับวิสกี้ เรียกว่า Eggnog ปี ค.ศ.1910 เกิดเครื่องปั่นไฟฟ้า Hamilton Beach ที่มีมอเตอร์อยู่ด้านบน ใช้ปั่นมิ้ลค์เชค ช่วยตีฟองเครื่องดื่มได้ง่ายขึ้น  และในปี ค.ศ.1922 Steven Poplawski พัฒนาเครื่องปั่นแบบมอเตอร์อยู่ด้านล่าง และนาย Ivar “Pop” Coulson พนักงานของร้าน Walgreen คิดค้านำเอานมมอลต์ (Horlicks) และไอศกรีมวานิลลา 2 ช้อน ใส่เพิ่มลงไปในมิ้ลค์เชค เกิดรสที่แสนอร่อยขึ้น ช่วงปี ค.ศ.1937 เกิดนิยมของเครื่องดื่มมิ้ลค์เชคที่ใส่ไอศกรีมปั่นลงไปด้วยเรียกว่า Frosted

Milk Shake Recipes (สูตรมิ้ลค์ เชค)

Coconut Caramel Milk By Cocktailthai

- 2 oz.         Milk (นมสด)

- 1/2 oz.      Coconut Cream (น้ำกะทิ)

- 3 oz.         Coconut Juice (น้ำมะพร้าว)

- 1 oz.         Caramel Sauce (ซอสคาราเมล)

- 1/2 oz.      Coconut Syrup (น้ำเชื่อมมะพร้าว Ding Fong)

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยวิปปิ้งครีม ราดซอสคาราเมล และมะพร้าวอ่อน 

Rose Milk  

- 1 oz.         Milk (นมสด) 

- 3 oz.         Pandan Juice (น้ำใบเตย) 

- 1/2 oz.      Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1 oz.         Strawberry Juice (น้ำสตรอเบอรี่)

- 1/2 oz.      Rose Syrup (น้ำเชื่อมกุหลาบ) 

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่าแล้วเททั้งน้ำแข็ง แต่งด้วยกลีบกุหลาบ 

Vanilla Smoothies 

- 3 oz.         Milk (นมสด)  

- 1 oz.         Cream (ครีมคาร์เนชั่น) 

- 1 tsp.        Ovaltine White Malt (โอวัลตินขาว)                                     

- 2-3 tsp.     Sweetened Condensed Milk (นมข้นหวาน) 

- 1/2 oz.      White Chocolate Syrup (น้ำเชื่อมไวท์ช็อคโกแลต) 

- 1 scoop.    Vanilla Ice Cream (ไอศกรีมวานิลา)

- 1-2 drop.   Vanilla Flavour (กลิ่นวานิลา) 

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยวิปปิ้งครีม ซอสคาราเมล 

Double Chocolate Chip Frappe

- 2 tsp.        Powder Chocolate (ผงช็อคโกแลต) 

- 2 tsp.        Ovaltine White Malt (โอวัลตินขาว) 

- 3 oz.         Milk (นมสด)    

- 1 oz.         Cream (ครีมคาร์เนชั่น) 

- 2 tsp.        Sweetened Condensed Milk (นมข้นหวาน)

- 1 oz.         Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น) 

- 1-2 ชิ้น.     Chocolate Chip Cookies (ค๊กกี้ช็อคโกแลต ชิฟ)        

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น ให้ใส่ช็อคโกแลตชิฟคุ๊กกี้ปั่นทีหลัง แต่งด้วยวิปปิ้งครีม และผงช็อคโกแลต

Mocha Frappe

- 2 tsp.        Coffee (ผงกาแฟ)

- 1 tsp         Ovaltine White Malt (โอวัลตินขาว) 

- 3 oz.         Milk (นมสด) 

- 1 oz.         Cream (ครีมคาร์เนชั่น)

- 1/2 oz.      White Chocolate Syrup (น้ำเชื่อมช็อกโกแลตขาว)

- 2 tsp.        Sweetened Condensed Milk (นมข้นหวาน)

- 1 oz.         Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น)    

วิธีผสม : ใช้วิธีปั่น แต่งด้วยวิปปิ้งครีม และผงช็อคโกแลต

Butter Beer

1 tsp.         Caramel Sauce (ซอสคาราเมล)                                               

- 1 oz.          Brown Sugar Syrup (น้ำเชื่อมน้ำตาลไม่ขัดสี)

- นิดหน่อย.   Salt (เกลือ)

- Full-Up.     Soda (โซดา) 

- On-Top.     Milk Froth (ฟองนมสด) 

วิธีผสม : ใช้วิธีคนผสมในแก้ว แต่งด้วยฟองนมเทปิดเต็มหน้าแก้ว

Cafe Latte

- 2 tsp.         Coffee (กาแฟผง) 

- 3 oz.          Milk (นมสด) 

- 1 oz.          Cream (ครีมคาร์เนชั่น)

- 1 tsp.         Sweetened Condensed Milk (นมข้นหวาน) 

- 1/3 oz.       White Chocolate Syrup (น้ำเชื่อมช็อคโกแลตขาว)

- 1 oz.          Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่าแล้วเททั้งน้ำแข็ง แต่งด้วยวิปปิ้งครีม ผงช็อคโกแลต และซอสคาราเมล

Green Tea Ice Milk Latte

- 2 tsp.         Powder Green Tea (ผงชาเขียว)

- 1 tsp.         Ovaltine White Malt (โอวัลตินขาว)

- 3 oz.          Milk (นมสด)

- 1 oz.          Cream (ครีมคาร์เนชั่น)

- 3/4 oz.       Green Tea Syrup (น้ำเชื่อมชาเขียว) 

- 1 oz.          Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

วิธีผสม : ใช้วิธีเขย่าเททั้งน้ำแข็ง แต่งด้วยวิปปิ้งครีม และผงชาเขียว

เฟรปเป้ Frappe'

Frappe เฟรปเป้ คือเครื่องดื่มที่ใช้วิธีปั่นเป็นหลัก คล้ายกับสมูธตี้ส์ แต่ว่าต่างกันตรงที่จะไม่ใส่โยเกิร์ต จะใส่กาแฟผสมด้วยก็ได้ เช่น Mocka Frappe เป็นต้น รสชาดออกรสผลไม้ผสม ดื่มง่าย แก้ดับกระหาย ดื่มแล้วสดชื่น ส่วนใหญ่จะนำเนื้อผลไม้มาปั่นรวมกับน้ำผลไม้ต่างๆ ทั้งน้ำเชื่อม น้ำหวานต่างๆ ด้วย มีสีสันสวยงาม

แต่เดิม เฟรปเป้ เราอาจจะเจอกันในสูตรกาแฟมากกว่า เช่นของสตาร์บัค สูตรที่เรียกว่า Frappuchino แต่เดิมย้อนไปในศตวรรษที่ 19 มีอีกสูตรกาแฟ ที่เป็นสูตรกาแฟเย็น เรียกว่า "Caféfrappé" หรือ Frappé Coffee หรือ Greek Frappé กาแฟเย็นที่หุ้มด้วยโฟมที่ทำจากกาแฟสำเร็จรูปของเนสท์เล่  คิดค้นโดย Dimitris Vakondios ทำเครื่องดื่มช็อคโกแลตตัวใหม่สำหรับเด็กๆ โดยเขย่าในเช็คเกอร์ แต่ในระหว่างช่วงพัก เขาต้องการซื้อ Nescafé Classic กาแฟชงน้ำร้อนที่เขาดื่มเป็นประจำ แต่เขาหาน้ำร้อนไม่ได้ เขาจึงผสมกาแฟกับน้ำเย็นในเช็คเกอร์ เขย่าจนเป็นโฟม ในงาน International Trade Fair ที่เมือง Thessaloniki ในกรีก เมื่อปี ค.ศ.1957 

ในปี ค.ศ.1979 Frappé Coffee กลายเป็นเครื่องดื่มกาแฟประจำชาติของกรีกสมัยใหม่ คำว่า Frappé จะมาจากคำในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “เขย่า” หรือ “คน” เตรื่องดื่มเขย่าในฝรั่งเศส จะใช้นม หรือน้ำผลไม้ แทนกาแฟ เฟรปเป้ สุดท้ายพัฒนามาเป็นปั่นในที่สุด 

Greek Frappé มีให้เลือกสามระดับความหวานขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาลที่ใส่ เช่น 

- Glykós ความหวานมาก ใช้กาแฟ 2 ช้อนชา และน้ำตาล 4 ช้อนชา

- Métrios ความปานกลาง ใช้กาแฟ 2 ช้อนชา และน้ำตาล 2 ช้อนชา

Skétos  ความหวานธรรมดา ใช้กาแฟ 2 ช้อนชา และไม่ใส่น้ำตาล

ซึ่งอาจจะใส่นม หรือโฟมนม จะเรียกว่า Frapógalo (frappé-milk) หรือบางครั้งเฟรปเป้จะเสิร์ฟโดยไม่ใส่น้ำ ผสม แต่ใช้นมแทน แนวเครื่องดื่มแบบนี้เจอในไซปัส บางครั้งมีการใส่เหล้า

Frappe Recipes (สูตรเฟรปเป้)

Strawberry Frappe

- 3-4 ลูก.          Strawberry (สตรอเบอรี่)

- 2 oz.              Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 2 oz.              Strawberry Juice (น้ำสตรอเบอรี่)

- 1 oz.              Strawberry Syrup (น้ำเชื่อมสตรอเบอรี่)

- นิดหน่อย.        Salt (เกลือ)

วิธีผสม ใช้วิธีการปั่นผสมให้เข้ากัน แต่งด้วยสตอเบอรี่

Mango & Peach Frappe

- 3-4 ชิ้น.            Mango (มะม่วงสุก)

- 1 oz.                Mango Juice (น้ำมะม่วง)

- 1 oz.                Peach Juice (น้ำพีช)

- 3/4 oz.             Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1/2 oz.             Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1/2 oz.             Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น)

วิธีผสม ใช้วิธีการปั่นผสมให้เข้ากัน แต่งด้วยวิปปิ้งครีม และมะม่วง

Choco-Mocka Frappe

- 1/3 oz.              Almond Syrup (น้ำเชื่อมอัลมอนด์)

- 1/2 tsp.             Coffee (กาแฟผง)

- 3 tsp.                Ovaltine White Malt (โอวัลตินไวท์มอลต์)

- 1 tsp.                Coffeemate (คอฟฟี่เมต)

- 1 oz.                 Cream (ครีมนมคาร์เนชั่น)

- 3 oz.                 Milk (นมสด)

- 1 oz.                 Brown Sugar Syrup (น้ำเชื่อมน้ำตาลไม่ขัดสี)

วิธีผสม ใช้วิธีการปั่นผสมให้เข้ากัน แต่งด้วยขอบแก้วเคลือบผงช็อคโกแลต

Mocka-Capu Frappe

- 2 tsp.                Coffee (กาแฟผง)

- 2-3 ชิ้น.             Nut Meringue (นัท เมอแรงค์)

- 1/3 oz.              Almond Syrup (น้ำเชื่อมอัลมอนด์)

- 1 tsp.                Ovaltine (โอวัลติน)

- 1 tsp.                Coffeemate (คอฟฟี่เมต)

- 1 oz.                 Cream (ครีมนมคาร์เนชั่น)

- 3 oz.                 Milk (นมสด)

- 1 oz.                 Brown Sugar Syrup (น้ำเชื่อมน้ำตาลไม่ขัดสี)

- On-Top.            Whipping Cream (วิปปิ้งครีม)

วิธีผสม ใช้วิธีการปั่นผสมให้เข้ากัน ใส่วิปปิ้งครีมโรยหน้า 

De Limon Frappe

- 1.5 oz.             Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)

- 1 Scoop.          Lemon Sherbet (เลมอน เชอร์เบท)

- 3/4 oz.             Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)

- 1 ชิ้น.                Fresh Lemon (มะนาวสดบีบใส่)

- 1/2 oz.             Triple Sec (ทริเปิ้ล เชค)

- 2 oz.                Sparking Wine (สปาร์คลิ้ง ไวน์)

วิธีผสม ใช้วิธีการปั่นผสมให้เข้ากัน แต่งด้วยไอศกรีมมะนาว 

Fruity Frape

- 1-2 ชิ้น.             Waternelon (แตงโม)

- 1-2 ชิ้น.             Cantaloop (แคนตาลูป)

- 2-3 ลูก.             Strawberry (สตรอเบอรี่)

- 2 oz.                 Pineapple Juice (น้ำสับปะรด)

- 1 oz.                 Mango Juice (น้ำมะม่วง)

- 1 oz.                 Orange Juice (น้ำส้ม)

- 1/2 oz.              Gum Syrup (น้ำเชื่อมเข้มข้น)

- 1 ชิ้น.                Fresh Lemon (มะนาวชิ้นบีบใส่)

วิธีผสม ใช้วิธีการปั่นผสมให้เข้ากัน แต่งด้วยมะนาวฝาน

เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (สปาดริ้ง) SPA Drink

SPA Drink เครื่องดื่มพันธุ์ใหม่ สำหรับคนทุกเพศทุกวัย ที่รักจะดูแลสุขภาพ เป็นเครื่องดื่มผสมที่สกัดมาจากผลไม้สดผสมกับน้ำผลไม้เพื่อให้ดื่มกินได้ง่ายขึ้น มีคุณค่าต่อร่างกาย ดื่มเพื่อบำบัดรักษาโรค บำรุงร่างกาย เพิ่มภูมิค้มกัน สุขภาพจะได้แข็งแรงขึ้น ดื่มเพื่อล้างพิษ ขจัดของเสียออกจากร่างกาย ลดความเครียด ทำให้สดชื่น ผ่อนคลาย แถมยังช่วยแก้อาการเมาค้างได้ด้วยครับ

วิธีผสม จะนำเนื้อผลไม้ต่างๆ ตามแต่ละสูตรที่กำหนดมาใส่เครื่องคั่นน้ำแบบแยกกรองกากออก เมื่อได้น้ำออกมาก็ออกไปผสมกับส่วนผสมอื่นๆ อีก เพื่อให้ดื่มกินได้ง่ายขึ้น เนื่องจากรสชาดของ SPA Drink ส่วนใหญ่จะเป็นรสผักผลไม้ หอมกลิ่นพืชผักสมุนไพร แต่ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ

สามารถแบ่งโทนเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้ดังนี้

1.SPA Drink of Detox ดื่มเพื่อล้างพิษ ขจัดของเสียออกจากร่างกาย

2.SPA Drink of Stress Buster ดื่มเพื่อผ่อนคลาย ลดความเครียด

3.SPA Drink of Energize ดื่มเพื่อเสริมพลังงานให้กับร่างกาย

4.SPA Drink of Health & Immune Booster ดื่มเพื่อการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และบำรุงร่างกาย ดีต่อสุขภาพ

5.SPA Drink of Over-Hang ดื่มเพื่อแก้อาการเมาค้าง ทำให้กระปรี่กระเป๋า สดชื่นขึ้น

 

SPA Drink Recipes (สูตรสปาดริ้ง)

Hi-Tension SPA Drink by Cocktailthai
- 1/2 cup.            สับปะรด
- 1/2 cup.            ใบขึ้นฉ่าย
- 1.5 oz.              Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม) 
- 1/2 oz.              Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)               
- 1/3 oz.              Green Syrup (น้ำเขียวเฮลบูลบอยซ์)              
- 1/3 oz.              Pineapple Syrup (น้ำเชื่อมสับปะรด) 
วิธีผสม นำเนื้อสับปะรด และใบขึ้นฉ่ายใส่เครื่องคั่นแยกกาก เอาน้ำที่ได้มาผสมกับส่วนผสมอื่นที่เหลือใส่ในกระบอกเชคเกอร์ เขย่าให้เย็น แล้วเทเครื่องดื่มใส่แก้ว แต่งแก้วด้วยสับปะรดชิ้น
ดื่มเพื่อคลายเครียด ผ่อนคลาย
 
 
Berry Mix & SPA Drink by Cocktailthai 
- 1/2 cup.            สตรอเบอรี่                
- 1/2 cup.            แอปเปิ้ล               
- 2 oz.                 Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)              
- 1/2 oz.              Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)
- 1/4 oz.              Rapsberry Syrup (น้ำเชื่อมราสเบอรี่)              
- 1/4 oz.              Blueberry Syrup (น้ำเชื่อมบูลเบอรี่) 
วิธีผสม นำเนื้อสตรอเบอรี่ และแอปเปิ้ลใส่เครื่องคั่นแยกกาก เอาน้ำที่ได้มาผสมกับส่วนผสมอื่นที่เหลือใส่ในกระบอกเชคเกอร์ เขย่าให้เย็น แล้วเทเครื่องดื่มใส่แก้ว แต่งแก้วด้วยแอปเปิ้ลและสตรอเบอรี่
ดื่มเพื่อคลายเครียด ผ่อนคลาย
  
Carroty SPA Drink by Cocktailthai 
- 1/2 cup.             แครรอท              
- 1/4 cup.             สับปะรด                
- 2 oz.                  Orange Juice (น้ำส้ม)                
- 1 oz.                  Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)              
- 3/4 oz.               Sugar Syrup (น้ำเชื่อม) 
วิธีผสม นำเนื้อแครรอท และเนื้อสับปะรดใส่เครื่องคั่นแยกกาก เอาน้ำที่ได้มาผสมกับส่วนผสมอื่นที่เหลือใส่ในกระบอกเชคเกอร์ เขย่าให้เย็น แล้วเทเครื่องดื่มใส่แก้ว แต่งแก้วด้วยสับปะรดชิ้น+เชอรี่
ดื่มเพื่อต้านอนุมูลอิสระ ดีท็อกผิวพรรณ
 
  
Mix Berry Iec Tea SPA Drink by Cocktailthai 
- 2-3 ลูก.               สตรอเบอรี่              
- 10 ลูก.                บูลเบอรี่               
- 2-3 ลูก.               ราสเบอรี่
- 2-3 ลูก.               แบล็คเบอรี่              
- 1/2 ลูก.               แอปเปิ้ลเขียว 
- 1/2 oz.               Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)              
- 3/4 oz.               Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)              
- 1/2 cup.             Darjeeling Tea (ชาดาจิงริ่ง) 
วิธีผสม นำเนื้อผลไม้เบอรี่ต่างๆ ใส่เครื่องคั่นแยกกาก เอาน้ำที่ได้มาผสมกับส่วนผสมอื่นที่เหลือใส่ในแก้ว เทน้ำชาใส่ในแก้ว แต่งแก้วด้วยสตรอเบอรี่หั่น+แอปเปิ้ล
ดื่มเพื่อคลายเครียด ผ่อนคลาย
 
  
Iec Tea Leaves & SPA Drink by Cocktailthai 
- 2 oz.                  Orange Juice (น้ำส้ม)               
- 3/4 oz.               Sugar Syrup (น้ำเชื่อม)              
- 1/2 cup.             Jasmine Tea Leaves (ชามะลิ) 
วิธีผสม นำน้ำแข็งใส่แก้วเทส่วนผสมทั้งหมดใส่แก้ว แต่งแก้วด้วยใบชา+ส้ม
ดื่มเพื่อคลายเครียด ผ่อนคลาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
 
 
Beetroot Mix SPA Drink by Cocktailthai 
- 2 cup.               บีตรูต 
- 1 cup.               สับปะรด 
- 1 cup.               แครรอท 
- 1 cup.               ใบขึ้นฉ่าย 
- 1.5 oz.              Passion Fruit Juice (น้ำเสาวรส) 
- 1 oz.                 Orange Juice (น้ำส้ม)  
- 3/4 oz.              Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)               
- 3/4 oz.              Sugar Syrup (น้ำเชื่อม) 
- นิดหน่อย.           Salt (เกลือ) 
วิธีผสม นำเนื้อผลไม้ต่างๆ ใส่เครื่องคั่นแยกกาก เอาน้ำที่ได้มาผสมกับส่วนผสมอื่นที่เหลือใส่ในกระบอกเชคเกอร์ เขย่าให้เย็น แล้วเทเครื่องดื่มใส่แก้ว แต่งแก้วด้วยใบขึ้นฉ่าย+ส้ม
ดื่มเพื่อล้างพิษ ขจัดของเสียออกจากร่างกาย
 
 
SPA Drink & Vege by Cocktailthai 
- 2 cup.               บีตรูต 
- 1 cup.               ดอกกะหล่ำ 
- 1 cup.               แครรอท 
- 2 oz.                 Orange Juice (น้ำส้ม)  
- 1/3 oz.              Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)               
- 3/4 oz.              Sugar Syrup (น้ำเชื่อม) 
- นิดหน่อย.           Salt (เกลือ) 
วิธีผสม นำเนื้อผลไม้ต่างๆ ใส่เครื่องคั่นแยกกาก เอาน้ำที่ได้มาผสมกับส่วนผสมอื่นที่เหลือใส่ในกระบอกเชคเกอร์ เขย่าให้เย็น แล้วเทเครื่องดื่มใส่แก้ว แต่งแก้วด้วยมะนาวฝาน+ส้ม
ดื่มเพื่อการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และบำรุงร่างกาย ดีต่อสุขภาพ
 
 
Direct SPA Drink by Cocktailthai
- 1 cup.               แอปเปิ้ล
- 1 cup.               สับปะรด
- 1/2 cup.            แครอท
- 1/2 cup.            สตรอเบอรี่
- 1/2 cup.            ใบขึ้นฉ่าย
- 2 oz.                 Orange Juice (น้ำส้ม)
- 1 oz.                 Apple Juice (น้ำแอปเปิ้ล)
- 3/4 oz.              Lemon Juice (น้ำมะนาวผสม)
วิธีผสม นำส่วนผสมทั้งหมดที่เป็นเนื้อใส่เครื่องแยกกาก นำน้ำที่ได้ผสมกับน้ำผลไม้ส่วนที่เหลือ คนให้เข้ากัน แล้วใส่แก้วที่มีน้ำแข็งรอ แต่งแก้วด้วยส้มฝาน+ส้ม
ดื่มเพื่อช่วยล้างพิษ ต้านอนุมูลอิสระ ลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใส ควรดื่มหลังจากผสมเสร็จในทันที ดื่มเป็นประจำในเวลาเช้า ก่อนทานอาหาร

 

คุณค่าแห่งผลไม้ 

Apple (แอปเปิ้ล) มีวิตามินอี แคลเซียม กากใยอาหารเพคติน เบต้าแคโรทีน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส แอปเปิ้ลมีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเทอรอล ช่วยลดความอ้วนได้ แก้อาการท้องผูกได้ ช่วยล้างพิษ ขับของเสียออกจากร่างกาย ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ให้ลำไส้ ช่วยบำรุงผิวให้เต่งตึง ชุ่มชื่น

Banana (กล้วย) มีใยอาหารสูง เบต้าแคโรทีน โปรแตสเซี่ยม วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินเค และวิตามินซีด้วย กล้วยมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดคอเลสเทอรอล ช่วยให้นอนหลับสบาย บำรุงสมอง เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยล้างพิษในร่างกาย โดยเฉพาะช่วยขับพิษพวกโลหะออกจากร่างกาย ทำให้ปอดมีความชุ่มชื้น และยังช่วยแก้การกระหายน้ำได้ดีมากด้วย ช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายอีกด้วย

Beetroot (บีตรูต) มีวิตามินบี (โพแลต) วิตามินซี กรดโฟลิค โปรแตสเซี่ยม แคลเซียม เหล็ก และเบต้าแคโรทีน นหัวบีตรูต จะมีสารที่เรียกว่าเบทานิน (Betanin) เป็นกรดอะมิโนที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ต้านมะเร็งได้ ช่วยบำรุงตับ ช่วยบำรุงครรถ์ ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioseydants) ซึ่งเป็นสารที่ป้องกันการเกิดมะเร็งหลายชนิด

Blackberry (แบล็คเบอรี่) มีวิตามินอี แบล็คเบอรี่มีสรรพคุณช่วยบำรุงรักษาหัวใจ และระบบไหลเวียนของโลหิต ช่วยบำรุง เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสดชิ่น ผ่อนคลาย 

Blueberry (บลูเบอรี่) มีวิตามินอี วิตามินซี บลูเบอรี่มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย ให้ความกระชุ่มกระชวย เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสดชิ่น ผ่อนคลาย คลายเครียด

Cantaloop (แคนตาลูป) มีน้ำตาล วิตามินซีเล็กน้อย วิตามินเอสูงมาก แคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยผ่อนคลาย คลายร้อน ลดความตึงเครียด

Carrot (แครรอท) มีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม โปรแตสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซี แครรอทมีสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยลดอาการเครียด ทำให้แก่ช้า ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ช่วยล้างพิษ บำรุงรักษาตับ ไต และระบบการย่อยอาหาร ช่วยต้านมะเร็ง ต้านเชื้อโรค เชื้อรา และแบคทีเรีย ทำให้ผิวพรรณสดใส ช่วยลดความอ้วนได้ 

Grapefruit (ส้มโอ) มีวิตามินซี ส้มโอมีสรรพคุณช่วยบำรุงรักษาโรคกระเพาะอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ลดอาการบวมของร่างกาย แต่ถ้ากินมากเกินไปจะเป็นอันตราย เพราะจะเกิดกรดในกระเพาะมาก ทำให้คลื่นไส้อาเจียน 

Grava (ฝรั่ง) มีวิตามินซีอยู่มาก ฝรั่งช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะเลิกบุหรี่ และช่วยสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ระบบเนื้อเยื่อ ช่วยบำรุงผิวพรรณได้ดีมากด้วย ช่วยรักษาโรคบิด อาการท้องร่วง ช่วยลดอาการเครียด เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย 

Guttiferae (มะดัน) มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี น้ำตาล แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และแร่ธาตุหลายชนิด มะดันมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ แก้ไอ แก้ประจำเดือนมาไม่ปรกติ และช่วยขับระดู เป็นยาระบายอ่อน และยังช่วยลดน้ำลายที่เหนียวเป็นเมือกในลำคอให้ลดลง

Kiwi (กีวี) มีวิตามินซี โปรแตสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส กีวีมีสรรพคุณช่วยลดโซเดียมที่เป็นส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยเรียกน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

Lemon (มะนาว) มีกรดโฟลิค และวิตามินซี มะนาวช่วยขับเสมหะ แก้เจ็บคอ เป็นหวัด ลดอาการไอ ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ ช่วยป้องกันรักษาโรคหวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แก้อาการเมาค้าง บำรุงผิวพรรณทำให้ชุ่มชื่น ช่วยระงับกลิ่นปาก

Mango (มะม่วง) มีวิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน มะม่วงมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ ช่วยละลายเสมหะ ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน วินเวียนศีรษะ ช่วยดับกระหาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะทำงานได้เป็นปกติ แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะไตจะทำงานหนักเป็นอันตราย

Logan (ลำไย) มีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน ช่วยบำรุงระบบประสาท

Orange (ส้ม) มีสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน เกลือแร่ แคลเซียม กรดโฟลิค และวิตามินซีอยู่มาก ส้มช่วยดับกระหาย คลายร้อนได้ดี บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ป้องกันโรคหวัดได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยฆ่าเชื้อโรค เป็นเสมือนแม่บ้านให้ร่างกาย ช่วยทำความสะอาดระบบขับถ่ายในร่างกาย 

Pineapple (สับปะรด) มีวิตามินซี คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิค สับปะรดให้พลังงานกับร่างกายได้ดี มีเส้นใยอาหาร ช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยล้างพิษต่างๆ ในสำไส้ ลดอาการจุดเสียดแน่นท้อง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยป้องกันรักษาโรคไตอักเสบ ลดความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดลมอักเสบ 

Strawberry (สตรอเบอรี่) มีวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินซี กรดโฟลิค โปรแตสเซียม เบต้าแคโรทีน สตรอเบอรี่มีสรรพคุณช่วยต้านมะเร็ง ไวรัส และแบคทีเรีย ช่วยล้างพิษ เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย ทำให้สดชื่น ผ่อนคลาย 

Rambutan (เงาะ) เงาะไม่มีพิษ ช่วยแก้อาการท้องร่วงชนิดรุนแรงได้เป็นอย่างดี ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รักษาอาการอักเสบในช่องปาก และโรคบิดท้องร่วง

Raspberry (ราสเบอรี่) มีไซโตเคมีสูง ใยกากอาหารที่ละลายในน้ำได้ และวิตามินซี ราสเบอรี่มีสรรพคุณช่วยลดอาการเครียด ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย สบายอารมณ์สดชิ่น  

Rhamnaceae (พุทรา) มีวิตามินซี ฟอสฟอรัส ไขมัน แคลเซียม น้ำตาล พุทรามีสรรพคุณช่วยรักษาอาการท้องร่วง บำรุงร่างกาย และช่วยระงับอาการโรคประสาทอ่อนๆ

Tomato (มะเขือเทศ) มีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส กรดโฟลิค วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี มะเขือเทศช่วยล้างพิษ ฆ่าเชื้อโรค ลดอาการตับอักเสบ ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ช่วยฟอกเลือด ช่วยย่อยอาหารได้ดี ช่วยระบาย เพิ่มความชุ่มชื่นให้ร่างกาย บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ลดความเหนื่อยล้าของสมอง และยังมีสารช่วยต้านมะเร็งด้วย

Water Melon (แตงโม) แตงโมช่วยดับกระหายน้ำ ให้ความสดชื่น ผ่อนคลาย ช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ดีมาก แก้ร้อนในได้ ช่วยระบบขับถ่ายปัสสาวะให้ทำงานเป็นปกติ โดยเฉพาะขับลมในกระเพาะปัสสาวะ

Coffee กาแฟ เครื่องดื่มมหัศจรรย์ ที่ผู้คนทั่วโลกต่างหลงใหลในรสชาติ

"ดำดุจปีศาจ     ร้อนดั่งนรก

    บริสุทธิ์เช่นทูตสวรรค์      หวานปานความรัก"

                                จาก ชาร์ลส์   โมริซ เดอ ตัลยีรองด์          

กาแฟ มีถิ่นกำเนิดในเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1000 โดยเด็กคาฟเลี้ยงแกะจากฟา สังเกตเห็นฝูงแกะของตนมักจะมีอาการคึกคักหลังจากกิน ผลเชอรี่สีแดงเม็ดเล็กๆ ชนิดหนึ่งเข้าไป วันหนึ่งด้วยความสงสัย เค้าจึงเฝ้าสังเกตดู และทดลองกินดูบ้าง หลังจากนั้นเค้ารู้สึกสดชื่นคึกคักไม่ต่างอะไรกับแกะของเค้า ต่อมาเค้าได้นำผลเชอรี่สีแดงนี้ไปให้บาทหลวงผู้หนึ่งทดลองลิ้มรสดูบ้าง ผลทำให้บาทหลวงผู้นั้นรู้สึกสดชื่น ไม่ง่วงนอนขณะสวดมนต์ ต่อมาท่านบาทหลวงจึงทดลองนำผลเชอรี่สีแดงนี้ไปแช่ในน้ำแล้วดื่มกิน จนเป็นที่นิยมไปทั่ว หลังจากจากผลเชอรี่สีแดงก็ถูกเรียกชื่อว่า เมล็ดกาแฟ

ยุคแรกต้นกาแฟมีปลูกอยู่ที่เอธิโอเปียก่อนที่จะแพร่ไปยังอาระเบีย จะปลูกกาแฟไว้เพื่อเลี้ยงสัตว์ แต่กาแฟถูกนำมาเป็นเครื่องดื่มอย่างจริงจังโดยชาวเติร์ก มีการผสมเครื่องเทศ สมุนไพรเข้าไปด้วย หลังจากนั้นเมล็ดกาแฟก็ลูกลักลอบไปปลูกยังพื้นที่อื่นๆ จนเป็นนิยมไปทั่ว ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มคนบางส่วนคัดค้าน ต่อต้าน และเรียก เครื่องดื่มกาแฟว่าเป็น "เครื่องดื่มแห่งปีศาจ" ขัดต่อหลักศาสนา ใครที่ดื่มกินจะเป็นพวกมาร พวกปีศาจ พวกนอกรีด จนกระทั้ง โป๊ปวินเซนต์ที่ 3 ทรงตัดสินพระทัยที่จะทดลองดื่มกาแฟดูบ้าง พระองค์จึงได้ค้นพบกับความมหัศจรรย์ในรสชาดความอร่อยอย่างลึกล้ำของกาแฟ จากนั้นเป็นต้นมาเครื่องดื่มกาแฟ จึงเป็นที่ยอมรับ และแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่อิตาลี มีการคิดค้นเครื่องชงกาแฟเครื่องแรกของโลกขึ้นมา เกิดร่านขายกาแฟไปทั่วทุกมุมเมือง และทั่วโลกในเวลาต่อมา

กาแฟเป็นพืชที่ปลูกกันแพร่หลายในเขตร้อนชื้นต่างๆ ทั่วโลก และในศตวรรษที่ 17-18 กาแฟได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศเถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดียตะวันตกเป็นครั้งแรก ส่วนในประเทศไทยก็มีการปลูกกาแฟด้วยเช่นกัน โดยไทยสามารถปลูกกาแฟได้เป็นอันดับที่ 3 ของภูมิภาคแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากประเทศอินโดนีเซีย และประเทศเวียดนาม สายพันธุ์ของกาแฟ ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กาแฟพันธุ์อราบิก้า และกาแฟพันธุ์โรบัสต้า ซึ่งกาแฟทั้งสองพันธุ์นี้ ก็มีปลูกในประเทศไทยด้วย พันธุ์โรบัสต้าปลูกกันมากทางภาคใต้ของประเทศ ส่วนพันธุ์อราบิก้าปลูกกันมากทางภาคเหนือของประเทศ

เมล็ดกาแฟ แบ่งตามสายพันธุ์กาแฟที่ปลูก และที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปแบ่งได้ 4 ชนิด
1.อาราบิก้า (C. arabica,) มีกลิ่น และรสชาติดีกว่า
2.โรบัสต้า หรือคานีโฟร่า (C.canephora ver. robusta,)มีสารคาเฟอีนมากกว่า และรสออกเปรี้ยวนิดๆ รสกระด้างมากกว่าอาราบิก้า
3.เอ็กเซลซ่า (C.excelsa or C.liberica ver. dewevrei) ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมปลูก รสชาติแย่ไม่เป็นที่ยอมรับ
4.ลิเบอริกา (C.liberica or C.liberica ver liberica)

พันธุ์กาแฟ มีกว่า 50 พันธุ์ทั่วโลก แต่มีอยู่ 2 พันธุ์หลักที่เป็นที่รู้จักกัน คือ

กาแฟพันธุ์โรบัสต้า ปลูกกันมากทางภาคใต้ของประเทศไทย ดโยเฉพาะในจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช พังงา และกระบี่ จะปลูกกาแฟพันธุ์นี้กันมาก เจริญเติบโตได้ดีในแถบบริเวณที่ราบต่ำ สามารถเพาะปลูกได้ง่าย มีความต้านทานต่อการติดเชื้อโรคได้สูง สามารถทนต่ออุณหภูมิ และความชื้นที่สูงได้ดี ได้ผลผลิตเมล็ดกาแฟมาก และผลของมันยังสุกเร็วกว่ากาแฟพันธุ์อราบิก้าด้วย แต่มีคุณภาพ รสเข้มขม และราคาต่ำกว่ากาแฟพันธ์อราบิก้าด้วย ส่วนใหญ่จะนิยมนำกาแฟพันธุ์นี้มาผลิตทำกาแฟผงสำเร็จรูป

กาแฟพันธุ์อราบิก้า ปลูกกันมากทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แม่ฮ่องสอน และตาก เจริญเติบโตได้ดีในแถบบริเวณที่ราบสูงประมาณ 800-1,500 เมตร ที่ความสูงระดับนี้มีผลใทห้กาแฟเจริญเติบโตได้ช้า ซึ่งมีผลทำให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟได้น้อย แต่มีรสชาดที่ดีเยี่ยมนุ่มกลมกล่อม กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นอโรมา หรือกลิ่นฟาวเวอร์ ทำให้กาแฟพันธุ์นี้มีราคาแพงกว่ากาแฟพันธุ์โรบัสต้า ส่วนใหญ่นิยมนำมาผลิตทำเป็นกาแฟสด

ลักษณะเด่นของกาแฟ มีอยู่ 4 ประการ คือ

1.กลิ่นหอมฟุ้ง (Aroma)

2.บอดี้น้ำหนักมวลรวมของเมล็ด (Body)

3.แอซิดิตี้ กรดรสเปรี้ยวที่ทำให้ซาบซ่าน กระชุ่มกระชวย (Acidity)

4.เฟลเวอร์ รสชาดที่เด่นเป็นเอกลักษณ์ (Flavor)

การคั่วเมล็ดกาแฟ มี 3 ระดับ

1. Light Roast (Cinnamon Roast) คั่วแบบอ่อนสุดๆ สีออกน้ำตาลอ่อนคล้ายสีของอบเชย

2. Medium Roast (City Roast or Full City Roast) คั่วแบบปานกลาง รสเข้มข้น ออกรสหวานนิดหน่อย คั่วนาน 11-15 นาที

3. Dark Roast (Espresso Roast or Italian Roast) คั่วแบบไหม้เกียมจนดำ รสเข้มข้นมาก กลิ่นควันไหม้ คั่วนาน 16-18 นาที ทำให้ปริมาณกาเฟอีน และความเป็นกรดลดลงมาก 

แบ่งออกเป็น

  • กาแฟเอสเปรสโซ (Espresso) กาแฟดำ ชงเข้มข้น ไม่ผสมอะไรเลย ใส่ถ้วยขนาด 2-3 ออนซ์ แต่ก็มีแบบผสมด้วย เช่น กาแฟเอสเปรสโซ มัคเคียอะโต (Espresso Macchiato) จะผสมฟองนมเพิ่ม , กาแฟเอสเปรสโซ คอนพันนา (Espresso Conpanna) จะผสมวิปปิ้งครีมเพิ่ม
  • กาแฟคาปูชิโน (Capuchino) กาแฟเอสเปรสโซผสมฟองนมในอัตราส่วนอย่างละครึ่ง
  • กาแฟลาเต้ (Latte) กาแฟเอสเปรสโซผสมนมร้อนและฟองนม แบ่งออกเป็นสามส่วนอย่างละเท่าๆ กัน
  • กาแฟมอคค่า (Mocha) กาแฟเอสเปรสโซผสมน้ำเชื่อมช็อกโกแลตและนมร้อน อาจจะใส่ฟองนมก็ได้
  • กาแฟเฟรปเป้ (Frappe) กาแฟปั่น
  • กาแฟอเมริกาโน (Americano) กาแฟเอสเปรสโซผสมน้ำร้อน
  • กาแฟไอซ์ลาเต้ (Ice Latte) กาแฟเอสเปรสโซผสมนมสด และน้ำแข็ง
  • กาแฟไอซ์มอคค่า (Ice Mocha) กาแฟเอสเปรสโซผสมช็อกโกแลต นมสด และน้ำแข็ง
  • กาแฟไอซ์อเมริกาโน (Ice Americano) กาแฟเอสเปรสโซผสมน้ำ และน้ำแข็ง

อุปกรณ์สำหรับชงกาแฟ ได้แก่

  •  อุปกรณ์ชงแบบไอบริค (Ibrik) เป็นกากรวยทำจากทองเหลืองหรือทองแดง ชงกาแฟตามสไตล์แบบชาวตะวันออกกลาง มีการเติมเครื่องเทศเข้าไปด้วย โดยภายในกาก็ยังมีกากกาแฟตกค้างอยู่
  •  อุปกรณ์ชงแบบแก้วชง (Coffee Plunger) หรือแบบเฟรนช์ เพรส (French Press) เป็นแบบแก้วใส มีที่กรองและก้านกดอัดแรงดัน ทำจากสเตนเลส เพื่อกรองกากกาแฟออก ใช้กับกาแฟที่บดแบบหยาบ
  •  อุปกรณ์ชงแบบหยด (Drip) ใช้หลักแรงดันไอน้ำ ให้น้ำร้อนกลายเป็นไอ แล้วหยดระเหยผสมผ่านกาแฟ จากคว่ำลงก็จะกรองกากกาแฟออก และมีแบบที่แบบกระดาษกรอง ใช้หลักการเดียวกัน เน้นความร้อนของน้ำที่ผ่านกาแฟ
  •  อุปกรณ์ชงแบบเอสเปรสโซ (Espresso Machine) เป็นเครื่องแบบ Automatic ทำงานโดยอัตโนมัต ใช้การขับแรงดันไอน้ำ ในหม้อต้ม อัดผ่านกาแฟที่คั่วบดแบบละเอียด ในบล็อก Porta Filter จะได้หัวกาแฟที่เข้มข้น ได้แก่ Super Automatics  , Semi Automatics และ Fully Automatics

ประโยชน์ของกาแฟ

1. ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B มีผู้วิจัยพิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการป้องกัน โรคดังกล่าว

2. ป้องกันโรคหอบ โรคนี้ คือ อาการ ภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปเมื่อมีประสาทสำรองไม่ถูกกระตุ้น จะไม่มีอาการหอบเกิดขึ้นง่ายๆ แต่ถ้าหากประสาทสัมผัสสำรองถูกกระตุ้น จะเกิดอาการหอบทันที และคาเฟอีนในกาแฟจะระงับการตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง ลดการเกิดโรคหอบ

3. ลดการเกิดโรคตับจากสุรา ตามที่นักวิชาการสำรวจแล้วพบว่า กาแฟช่วยลดผลร้ายที่จะมีต่อตับ แต่ยังต้องวิจัยต่อไปว่า สารใดที่มีประโยชน์ดังกล่าว และมีผลต่อสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือไม่ นอกจากแอลกอฮอล์

4. ป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก จากผลการทดลองจริง พบว่ากาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้น โดยเฉพาะในคาเฟอีนมีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรค

5. ขับไล่ความชรา ออกซิเจนเป็นสารที่ร่างกายต้องการมากก็จริง แต่ถ้ามีออกซิเจนมากไป ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงและแก่เร็ว โดยเฉพาะกาแฟที่เข้มข้น จะทำให้ออกไซด์แตกตัว ลดการเกิดมะเร็งได้ กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

6. กาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ในกาแฟมีนิโคติน แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกับในบุหรี่ แต่เป็นวิตามิน B รวมชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายต้องการ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด จึงป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดแข็งตัว

7. ละลายไขมัน กาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้

8. กาแฟเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว

9. แก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้

10. เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น

11. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่ม กาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีน ในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ

TEA ชา

ชา เป็นพืชที่จัดอยู่ในพืชตระกูลคาเมเลีย ไซเนซิส มีกว่า 1200 สายพันธุ์ และมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีนบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็น ลำต้นเป็นไม้ยืนต้น ต้นชาอาจจะสูงได้ถึง 20 เมตร แต่ส่วนใหญ่จะตัดแต่งไม่ให้สูงเกิน 1 เมตร เพื่อที่จะได้เก็บใบอ่อนได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการแตกผลิใบอ่อนออกมาสม่ำเสมอ ลักษณะใบชา เป็นสีเขียวเรียวยาวประมาณ 3 นิ้ว กว้างประมาณ 1 นิ้ว ปลูกได้ดีในที่มีระดับความสูงเหนือน้ำทะเลกว่ 1000 เมตร ในที่มีอากาศหนาวเย็น มีความชื้น แต่ถ้าเป็นชาในประเทศอินเดีย จะอยู่ในตระกูลคาเมเลีย แอสซามิกา แต่จริงๆ แล้วมันก็คืออยู่ในตระกูลเดียวกัน ตระกูลคาเมเลีย ไซเนซิส (Camellia sinensis)        

แหล่งผลิตใบชาที่ใหญ่ๆ ของโลก

  • จีน เน้นชาใบ กลิ่นหอมอบอวล มีผลิตมากว่า 1000 ปี
  • อินเดีย ส่วนใหญ่ทำเป็นชาใบ และชาผงสำเร็จรูป
  • ศรีลังกา ส่วนใหญ่บดเป็นผง ทำชาซองขายที่ยุโรป

ชาสมุนไพร (Herbal Tea) เป็นเครื่องดื่มที่นำมาชงผสมกับน้ำร้อนๆ (Infusion) ดื่มกินเพื่อบำรุงสุขภาพร่างกาย เครื่องดื่มชาสมุนไพร ในรูปแบบต่างๆ มีอยู่มากมาย หลากหลาย

ชาสมุนไพรในตะวันตก นอกจากชาฝรั่ง ที่เรียกว่า Camellia sinensis ที่เราคุ้นเคยกันแล้ว ก็ยังมี "ชาสมุนไพร" (Herbal Tea) ด้วยที่ชาวตะวันตกนิยมดื่มชาสมุนไพรกันนานมาแล้ว ก่อนที่จะนิยมดื่มชาจีน แรกเริ่มจะเรียกว่า "tea" ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาจีนคือ "เต๊" (t'e) โดยในศตวรรษที่ 18 จะเรียกชาสมุนไพรว่า "ทีเซน" (tisane) ไม่ใช่ "เฮอร์เบอร์ ที" (herbal tea) อย่างในปัจจุบัน เดิมที ทีเซนจะหมายถึงน้ำข้าวบาร์เลย์ที่นำมาต้ม แต่ต่อมาก็ขยายความครอบคลุมรวมไปถึง ใบหรือดอก ส่วนต่างๆ ของสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่นำมาชงกับน้ำร้อน (infusion) ใช้ดื่มเป็นเครื่องดื่มเพื่อเป็นยารักษาโรคด้วย ต่อมาในศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปจึงเริ่มหันมานิยมดื่มชาสมุนไพรเป็นเครื่องดื่มทั่วไปกันมากขึ้น แต่ก็ยังจำกัดวงเฉพาะในหมู่คนจนชนบทเท่านั้น เนื่องจากชาจริงๆ มีราคาแพงมาก เพราะต้องนำเข้ามาจากประเทศจีนและอินเดีย จะกระทั้งเกิดเหตุการณ์การประท้วงการขึ้นภาษีใบชาที่สหรัฐอเมริกา ที่เมืองท่าบอสตัน ในปี ค.ศ.1773 มีการบุกขึ้นเรือ แล้วเทใบชาทิ้งลงทะเลหมด ทำให้ชาวอเมริกาหันไปดื่มกาแฟแทนกันมาก แต่ชาสมุนไพรก็นิยมดื่มกันแทนชาจริงๆ ด้วย ชาสมุนไพรนิยมดื่มกันแพร่หลายในช่วงนี้มาก เรียกว่า "ชาอาณานิคม" ทำจากสะระแหน่ กานพลู ผิวมะนาว และดอกจันทน์เทศ นอกจากหอมหวนชวนดื่มแล้ว และยังมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารอีกด้วย กานพลูนั้นนอกจากใช้เป็นเครื่องเทศแล้ว ยังนิยมนำมาทำเป็นชากานพลูด้วย ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19-20 ช่วงแรกความนิยมในชาสมุนไพรก็ลดถอยลงไปเรื่อยๆ แต่ในช่วงต่อมาก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับกระแสความตื่นตัวในการดูแลบำรุงสุขภาพในแนวธรรมชาติกันมากขึ้น ทั้งยังมีผลงานการวิจัยสมัยใหม่ที่ออกมายืนยันสรรพคุณทางยาของชาสมุนไพรหลายๆ มากขึ้นด้วย

วิธีทำชาสมุนไพรมี 2 วิธีคือ

1.ชง หรือ แช่ (Infusion) ในน้ำร้อนจะให้สารละลายออกมาเหมือนการชงชาทั่วไป วิธีนี้เหมาะกับสมุนไพรที่เป็นใบ ดอก หรือเมล็ด ซึ่งน้ำมันหอมระเหย (essential oil) อาจสูญเสียไปหากนำไปต้ม ชาสมุนไพรของฝรั่งส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้

2.ต้ม (Decoction) นำสมุนไพรไปต้มกับน้ำที่เดือดนานประมาณ 10-20 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ วิธีนี้เหมาะกับสมุนไพรส่วนที่เป็นราก เปลือกไม้แข็ง และเมล็ด

ชาสมุนไพรนอกจากจะมีกลิ่น และรสเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแล้ว อาจจะแต่งกลิ่นและรสเพิ่มได้อีก เช่น ใส่น้ำผึ้งแต่งรสหวาน ใส่มะนาวฝานแต่งกลิ่นและรสให้ออกเปรี้ยวฝาด ใส่สะระแหน่ ผงลูกจันทน์เทศป่น อบเชย หรือใบเตยเพื่อแต่งกลิ่น ได้แก่ชา

ชามะตูม  เป็นชาสมุนไพรที่แพร่หลาย ใช้ทั้งชงและต้ม โดยนำผลมาฝานเป็นแว่นตากแห้ง สามารถนำมาต้มได้เลย แต่ถ้าจะนำมาชง ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อน โดยชงในน้ำร้อนนานประมาณ 5 นาที จะได้ชาที่มีกลิ่นหอมเหมือนเปลือกไม้รมควัน แต่จะเข้มข้นน้อยกว่าวิธีต้ม สรรพคุณแก้ท้องเสีย ช่วยย่อยอาหาร ขับเสมหะ แก้ร้อนใน
ชาตะไคร้ ชาสมุนไพรที่ดื่มกินได้ทั้งร้อนหรือเย็น สามารถนำมาต้มหรือชงก็ได้ น้ำชาสีเหลืองอมเขียวอ่อนๆ รสออกฝาดนิดหน่อย แต่กลิ่นหอมเย็นอย่างมะนาว ใช้วิธีชงจะได้กลิ่นที่หอมมากกว่า สรรพคุณช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด และมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ
ชากระเจี๊ยบ  ใช้มหรือชงก็ได้ น้ำชากระเจี๊ยบมีรสชาดไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่น้ำกระเจี๊ยบต้มจะเข้มข้นกว่า ชากระเจี๊ยบ มีสีแดงใส กลิ่นหอม รสอมเปรี้ยว สรรพคุณมีฤทธิ์ช่วยแก้ร้อนใน กระหายน้ำ รักษาอาการขัดเบา นิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ ลดความดันโลหิต แก้ไอได้
ชาเก๊กฮวย ใช้ดอกที่ตากแห้ง เอามาต้มหรือชงก็ได้ ผลไม่แตกต่างกัน ชาดอกเก๊กฮวยมีกลิ่นหอมหวาน รสธรรมชาติ มีสีเหลืองใสอ่อนๆ นิยมดื่มทั้งร้อนและเย็น สรรพคุณช่วยบำรุงตับและสายตา บรรเทาอาการไขข้ออักเสบ ช่วยขับลมในลำไส้
ชาว่านหางจระเข้  ใช้ส่วนใบและวุ้นมาตากแห้ง แล้วต้มหรือชงก็ได้ ชาว่านหางจระเข้จะมีกลิ่น และรสเหมือนกับชาสมุนไพรทั่วไป มีสีเหลืองใสอ่อนๆ รสออกขมนิดๆ หากใช้ใบและวุ้นปนกันมากจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นยาระบาย
ชาดอกคำฝอย ใช้ดอกที่แห้งนำมาชงเป็นชาสมุนไพร มีกลิ่นหอม รสเหมือนกับน้ำชาทั่วไป สีเหลืองปนส้ม สรรพคุณช่วยบำรุงประสาท บำรุงหัวใจ ลดระดับคอเลสเตอรอล
ชาใบหม่อน  เหมือนใบชาจีน เหมาะนำมาชง สีเขียวปนเหลือง รสฝาดนิดหน่อย สรรพคุณช่วยระงับประสาท คลายกังวล ทำให้ผ่อนคลาย
ชากานพลู  นิยมดื่มกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ จะนำเอาดอกตูมมาตากแห้งมา แล้วชงหรือต้มก็ได้ มีสีเหลืองปนน้ำตาล กลิ่นหอมเย็น รสเฝื่อนนิดๆ สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องเสีย ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ ดับกลิ่นปาก ลดการบีบตัวของลำไส้
ชากิงโกะ  (ใบแปะก๊วย)  ใช้ต้มหรือชงก็ได้ หากจะชงต้องหั่นใบเป็นฝอยๆ ก่อน มีกลิ่นหอมเหมือนใบชาทั่วไป รสออกขมปนฝาด ชากิงโกะเป็นของจีน สรรพคุณช่วยการสูบฉีดโลหิตไปยังส่วนปลายประสาทให้ดีขึ้น บำรุงประสาท เหมาะสำหรับคนแก่ ช่วยรักษาโรคอัลไซเมอร์ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
ชารางจืด  ใช้ใบนำมาตากแห้ง แล้วต้มหรือชงเป็นชาสมุนไพร มีกลิ่นหอมอ่อนๆ สีเหลืองอ่อน รสขมแกมฝาดเล็กน้อย บางทีใส่ใบหนุมานประสานกายและใบเตยเข้าไปผสมด้วย สรรพคุณช่วยลดไข้ ถอนพิษได้
ชามิรานี ชัย  เป็นชาสมุนไพรค็อกเทล ที่นิยมดื่มในหมู่นักดื่มชาสมุนไพรในตะวันตก ใช้ส่วนผสมน้ำเปล่า 2 ถ้วย ขิงแก่สับ 2 ช้อนชา อบเชย 2 แท่ง พริกไทยเม็ดบุบ 3-4 เม็ด ลูกกระวาน 8-10 ลูก ต้มส่วนผสมทั้งหมดประมาณ 10 นาที แล้วใส่น้ำนมถั่วเหลือง 1/2 ถ้วย ต้มต่ออีก 10 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำใส่แก้วดื่ม อาจจะแต่งรสด้วยน้ำผึ้งและผงลูกจันทน์เทศป่นได้ มีกลิ่นหอมของอบเชยและน้ำนมถั่วเหลือง รสเผ็ดแบบขิงเล็กน้อย

ชาจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิดตามกรรมวิธีการผลิต ได้แก่

1.ชาเขียว เป็นชาที่ผ่านการอบแห้งโดยไม่ต้องหมัก ทำให้ใบชายังคงมีสีเขียว

2.ชาจีน เป็นชาที่เก็บจากภูเขาสูง และเป็นชาที่เก็บในฤดูหนาว

3.ชาฝรั่ง เป็นชาที่ผ่านการหมักอย่างเต็มที่

4.ชาขาว เป็นชาที่ได้จากยอดชาอ่อน และผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้ความร้อนน้อยที่สุด จึงทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการและศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุด

ประโยชน์ของใบชา ในใบชาจะมีสารคาเฟอีน ที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาท และระบบหมุนเวียนโลหิต ที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ภายในร่างกาย ชายังใช้ผสมในยาแก้ปวด เพื่อรักษาโรคไมเกรน ช่วยเพิ่มฤทธิ์ในการรักษา และทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้นอีกด้วย ส่วนสารกลุ่มแซนธีนในใบชาจะช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดตีบตัน เส้นเลือดอุดตัน และสารพอลิฟีนอล จะช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดอาการอักเสบ ช่วยสมานแผล ช่วยขับและขจัดสารพิษต่างๆ ภายในร่างกายได้ดี

ส่วนการดื่มชาเขียวจะช่วยลดการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะในชาเขียวจะมีวิตามินซี วิตามินบีรวม และกรดแพนโธเทนิก ที่ช่วยให้หลอดเลือดมีการซึมผ่านได้ดีขึ้น ช่วยไม่ให้เลือดแข็งตัวง่าย กรดแพนโธเทนิกในใบชา ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น วิตามินบี1ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเม็ดเลือด วิตามินบี2ช่วยลดการอักเสบ

การดื่มชาในช่วงหน้าร้อน จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น เนื่องจากชามีสารพอลิฟีนอล คาร์โบไฮเดรต และกรดอะมิโน เมื่อสารเหล่านี้เกิดปฏิกิริยากับน้ำลายจะช่วยกระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกาย นอกจากนี้ชายังให้สารไอโอดีน และฟูลออไรด์ ช่วยป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานหนักมากเกินไป และยังช่วยป้องกันฟันผุ และเสริมมวลกระดูกให้แข็งแรงด้วย

โทษของใบชา ก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะในใบชามีกรดแทนนิกอยู่มาก โดยเฉพาะชาหมัก ใบชาคุณภาพต่ำจะมีกรดแทนนิกอยู่มาก มีผลต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้ดูดซึมอาหารได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการขาดธาตุเหล็กในเลือด เมื่อแทนนิกรวมตัวกับโปรตีนจะทำให้ย่อยโปรตีนยากขึ้น ยิ่งชามีความเข้มข้นมากๆ ระบบย่อยอาหารจะผิดปกติ ทำให้ท้องผูก โดยเฉพาะในช่วงท้องว่าง ถ้าทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ ดังนั้นควรดื่มชาในช่วงหลังทานอาหารไม่เกิน 3 ชั่วโมง

บุคคลที่ไม่ควรดื่มชา คือผู้ที่มีอาการไตบกพร่อง ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ สตรีที่ทานยาคุม สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ ผู้ที่นอนหลับยาก และไม่ควรดื่มชาขณะกินยา ทั้งยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณ

นอกจากนี้ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัด เพราะความร้อนจะไปทำลายเนื้อเยื่อในช่องปาก จนทำให้เกิดอันตรายในช่องปาก ลำคอ และลำไส้ได้ ไม่ควรดื่มชาที่ค้างคืนหรือชงไว้นานๆ เพราะว่ามีกรดแทนนิกสูง และสารต่างๆในน้ำชาอาจทำปฏิกริยาจนกลายเป็นสารพิษได้

Visitors: 4,620,412